ศ. 2522 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้บริโภค (ฉบับที่ 2) พ. 2541 ประกอบกับมาตรา 3 มาตรา 4 และมาตรา 5 แห่งพระราชกฤษฎีกากำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการในการกำหนดธุรกิจที่ควบคุมสัญญาและลักษณะสัญญา พ. 2522 และมีการให้คำนิยามไว้โดยประกาศคณะกรรมการว่าด้วยสัญญา เรื่อง ให้ธุรกิจให้เช่าซื้อรถยนต์และรถจักรยานยนต์เป็นธุรกิจที่ควบคุมสัญญา พ.
ศ. 2543 สัญญา เช่าซื้อรถจะต้องมีรายละเอียดดังต่อไปนี้ ระบุไว้ในสัญญา 1. รายละเอียดเกี่ยวกับรถและสภาพรถ หากเป็นรถมือสอง ต้องมีหน่วยบอกระยะทางที่ได้ใช้ไปแล้ว 2. รายละเอียดเกี่ยวกับการจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ ที่ระบุว่าเมื่อผู้เช่าจ่ายเงินครบตามสัญญาแล้ว 3. ผู้ให้เช่าจะต้องดำเนินการจดทะเบียนโอนรถให้เป็นชื่อของผู้เช่าภายใน 30 วัน นับจากวันที่ได้รับเอกสารประกอบการจดทะเบียนจากผู้เช่าครบถ้วน 4. รายละเอียดเกี่ยวกับการยึดรถเมื่อผิดนัดชำระหนี้ โดยระบุว่าหากผู้เช่าผิดนัดชำระหนี้ 3 งวดติดต่อกัน และได้รับจดหมายแจ้งจากผู้ให้เช่าว่าผิดนัดชำระหนี้ และทวงถามให้ชำระหนี้ภายใน 30 วันนับจากวันที่ 5. ได้รับหนังสือแจ้ง แต่ผู้เช่ายังไม่ไปจ่ายเงินภายใน 30 วันตามที่กำหนด ผู้ให้เช่าสามารถยึดรถได้ 6. รายละเอียดเกี่ยวกับการยกเลิกสัญญาเช่าและขายรถให้กับคนอื่น โดยระบุว่า ผู้ให้เช่าต้องมีหนังสือแจ้งล่วงหน้าไม่น้อยกว่า 7 วัน เพื่อให้สิทธิ์ผู้เช่าซื้อรถตามจำนวนเงินที่ค้างจ่าย 7. รายละเอียดเกี่ยวกับการขายเกินมูลค่าหนี้ที่เหลืออยู่ โดยระบุว่า หากผู้ให้เช่าขายรถ (โดยการประมูล หรือขายทอดตลาด) และได้เงินมากกว่าหนี้ที่ค้างชำระ ผู้ให้เช่าจะต้องคืนเงินส่วนเกินให้กับผู้เช่า แต่ถ้าหากขายแล้วได้ราคาน้อยกว่าหนี้ค้างชำระ ผู้ให้เช่าต้องเป็นผู้รับผิดชอบ 8.
เมื่อไม่นานมานี้ ผู้เขียนได้รับคำถามจากคนรู้จักว่า "จริงหรือที่กฎหมายเช่าซื้อรถยนต์ ฉบับใหม่ ไม่อนุญาตให้บริษัทลีสซิ่ง คิดดอกเบี้ยเช่าซื้อ แบบอัตราคงที่(Flat Rate)แล้ว แต่ต้องคิดดอกเบี้ย แบบลดต้น ลดดอกเท่านั้น ทำไมยังเห็นบริษัทลีสซิ่งหลายๆ ที่ คิดอัตราดอกเบี้ย แบบคงที่อยู่เลย อย่างนี้ถือว่าผิดกฎหมายหรือไม่" ผู้เขียนเลยได้มีโอกาสได้ศึกษากฎหมายใหม่ที่ว่านี้ ซึ่งก็คือ ประกาศคณะกรรมการว่าด้วยสัญญา เรื่อง ให้ธุรกิจเช่าซื้อรถยนต์และรถจักรยานยนต์เป็นธุรกิจที่ควบคุมสัญญา พ. ศ. 2561 ซึ่งมีผลใช้บังคับเมื่อวันที่ 1 ก. ค. 2561 ที่ผ่านมา เมื่ออ่านดูแล้วก็พบว่า มีประเด็นที่น่าสนใจหลายประการที่อยากจะหยิบยกมาเล่าให้ผู้อ่านทุกท่านฟัง ประกาศฯ ฉบับที่กล่าวถึงนี้ เป็นประกาศที่ออกภายใต้ พระราชบัญญัติ(พ. ร. บ. )คุ้มครองผู้บริโภค พ.
กรณีผู้เช่าซื้อต้องการชำระเงินทั้งหมด บริษัทลิสซิ่งต้องให้ส่วนลดดอกเบี้ยไม่น้อยกว่า 50% 4. ให้สิทธิผู้เช่าซื้อ ซื้อรถคืนได้ภายใน 7 วัน และให้สิทธิผู้ค้ำประกันอีก 15 วัน 5. กรณีจะนำรถขายทอดตลาด ต้องแจ้งให้ผู้เช่าซื้อ และผู้ค้ำประกันทราบล่วงหน้า 7 วัน 6.
๙๒ บาท ซึ่งจำเลยที่ ๑ ยังไม่ได้ผิดสัญญาเช่าซื้อแต่อย่างใด เพราะตามสัญญาเช่าซื้อข้อ ๕ (ก) นั้น สัญญากำหนดว่า " ถ้าผู้เช่าซื้อผิดนัดชำระค่าเช่าซื้อสามงวดใดๆ เจ้าของมีสิทธิ์กลับเข้าครอบครองรถยนต์ที่ให้เช่าซื้อได้ " แต่จำเลยที่ ๑ ผู้เช่าซื้อเพิ่งผิดนัดชำระค่างวดเพียงงวดเดียวเท่านั้น จำเลยที่ ๒ จึงยังไม่ผิดสัญญา สัญญายังไม่เลิกกันแต่โจทก์กลับติดตามยึดรถยนต์กลับคืนบริษัทโจทก์เมื่อวันที่ ๓ กรกฎาคม ๒๕๔๗ ตามคำฟ้องโจทก์ข้อ ๓ นั้น โจทก์กลับเป็นฝ่ายผิดสัญญาเสียเอง จำเลยที่ ๒ จึงไม่ต้องรับผิดเรื่องค่าเสียหายแก่โจทก์ ข้อ ๓. จำเลยที่ ๒ ขอให้การว่าจำเลยที่ ๑ ยังไม่ได้โต้แย้งสิทธิโจทก์ เพราะว่าจำเลยที่ ๑ ยังไม่ผิดนัดผิดสัญญาเช่าซื้อต่อโจทก์ เนื่องจากว่าแม้จำเลยที่ ๑ ชำระค่างวดเพียง ๑๘ งวด ซึ่งเมื่อถึงวันที่ ๗ กรกฎาคม ๒๕๔๗ ตามคำฟ้องโจทก์ข้อ ๓ นั้น ระยะเวลาผ่อนชำระค่าเช่าซื้อตามสัญญาก็ตรงกับกำหนดเวลาคือ เดือนที่ ๑๘ พอดี สัญญาเช่าซื้อจึงยังไม่เลิกกัน จำเลยที่ ๑ ยังไม่ผิดสัญญา จำเลยที่ ๒ จึงยังไม่ผิดสัญญาด้วย ซึ่งแม้ว่าในงวดเดือนที่ ๑๘ จำเลยที่ ๑ ชำระค่างวดเพียง ๔, ๗๐๐. ๙๒ บาทซึ่งไม่ตรงกับจำนวนเงินที่กำหนดไว้ในสัญญาเช่าซื้อก็ตาม แต่โจทก์กลับรับเงินค่าเช่าซื้อไว้โดยไม่อิดเอื้อนทักท้วง แสดงว่าในทางปฏิบัติโจทก์และจำเลยที่ ๑ มิได้ถือเอากำหนดชำระค่าเช่าซื้อตามสัญญาเป็นสาระสำคัญ เมื่อจำเยที่ ๑ ยังไม่ผิดสัญญา จำเลยที่ ๒ จึงยังไม่ผิดสัญญาด้วยเช่นกัน สัญญาเช่าซื้อจึงยังไม่เลิกกัน จำเลยที่ ๒ จึงยังไม่ได้โต้แย้งสิทธิโจทก์ ข้อ ๔.